ยูลี มาร์ตอฟ หรือ
แอล. มาร์ตอฟ (Ма́ртов; นามแรกเกิด
ยูลี โอซีโปวิช เซเดียร์บาอูม;
[1] 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1873 – 4 เมษายน ค.ศ. 1923) เป็นนักการเมืองและนักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้เป็นหัวหน้า
เมนเชวิค ซึ่งเป็นกลุ่มส่วนหนึ่งใน
พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย (RSDLP) เขาเป็นเพื่อนร่วมงานคนสนิทกับ
วลาดีมีร์ เลนิน กระทั่งความไม่ลงรอยกันระหว่างมาร์ตอฟกับเลนิน ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกอุดมการณ์ของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย โดยเลนินเป็นหัวหน้ากลุ่ม
บอลเชวิคที่เป็นฝ่ายต่อต้านเขามาร์ตอฟเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางชาวยิวที่กรุง
คอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของ
จักรวรรดิออตโตมัน เขาเติบโตที่
ออแดซาและเริ่มรับแนวคิดแบบ
ลัทธิมากซ์หลังจากเผชิญกับทุพภิกขภัยในรัสเซียระหว่าง ค.ศ. 1891–1892 มาร์ตอฟเข้าศึกษาที่
ราชวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์กเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ต่อมาถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยและเนรเทศไปยัง
วิลนา เขาอุทิศตนให้กับการทำงานกับแรงงานยิวในปีถัด ๆ มา ซึ่งการปลุกปั่นของเขาจะเป็นการปูทางในการก่อตั้งสหภาพแรงงานชาวยิวสามัญ (General Jewish Labour Bund) เขาเดินทางกลับมาเซนต์ปีเตอส์เบิร์กอีกครั้งใน ค.ศ. 1895 มาร์ตอฟได้สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ
วลาดีมีร์ เลนิน และทั้งสองร่วมกันก่อตั้ง
สันนิบาตการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยชนชั้นแรงงาน หนึ่งปีต่อมาเขาถูกจับและเนรเทศไปยังอาร์กติกไซบีเรียเป็นเวลาสามปี หลังจากการถูกเนรเทศ มาร์ตอฟจึงร่วมมือกับเลนินและย้ายไปที่ยุโรปตะวันตก เขากลายเป็นสมาชิกพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียและเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของพรรคอย่าง
อีสครา ใน
การประชุมใหญ่ของพรรคครั้งที่สองใน ค.ศ. 1903 เกิดความแตกแยกระหว่างผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่าย โดยมาร์ตอฟเป็นผู้นำฝ่ายเมนเชวิคที่ต่อต้านบอลเชวิคของเลนินภายหลัง
การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 มาร์ตอฟเดินทางกลับรัสเซียแต่พบว่าตนเองถูกทำให้ไร้ความสำคัญหลัง
การปฏิวัติเดือนตุลาคม ซึ่งบอลเชวิคเข้ามามีอำนาจภายในประเทศ เขายังคงเป็นหัวหน้าเมนเชวิคต่อไปและประณามมาตรการปราบปรามของรัฐบาลโซเวียตที่มีจำนวนมากใน ค.ศ. 1920 มาร์ตอฟถูกกดดันให้ออกจากรัสเซีย เมนเชวิคกลายเป็นพรรคผิดกฎหมายในปีต่อมา เขาอยู่พำนักในเยอรมนีและถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 1923 ตามที่น้องสาวของเลนินกล่าวไว้นั้น เลนินพยายามส่งเงินให้มาร์ตอฟในระหว่างที่เขาป่วยครั้งสุดท้ายใน ค.ศ. 1922 แต่
โจเซฟ สตาลินปฏิเสธและกล่าวว่ามาร์ตอฟเป็น “ต้นเหตุของศัตรูของชนชั้นแรงงาน!”
[2][3]